ศรัทธา มหาบารมี นำค่านิยม
วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2559
หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ พระครูมนูญธรรมวัตร
ปฐมวัย
หลวงพ่อสาครเล่าให้ฟังว่าท่านจบชั้น ป.๔ จากโรงเรียนวัดหนองกรับ เมื่อมีเวลาว่างท่านได้ไปขอเรียนวิชาจาก ครูทัตและครูหล่อ ซึ่งเป็นฆราวาสขมังเวทของบ้านละหารไร่ ตั้งแต่อายุ ๑๑-๑๒ ขวบ ท่านว่า เรื่องคาถาอาคมนี่ มันก็เริ่มจากเรามีความอยากรู้อยากเห็นนี่แหละ พอเริ่มโตขึ้นมาหน่อยก็ติดตามโยมพ่อโยมแม่ไปทำบุญที่วัดละหารไร่เป็นประจำ ยามนั้นวัดละหารไร่ มีสหภารเจ้าวัดเป็นพระภิกษุชราชื่อว่า ท่านพระครูภาวนาภิรัต หรือ หลวงปู่ทิม อิสริโก หลวงพ่อสาครเล่าต่อว่าเมื่อไปทำบุญบ่อยๆเข้าก็พบว่าหลวงปู่ทิม ท่านเป็นพระที่ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบทำให้ท่านเกิดความประทับใจและเลื่อมใส จึงได้ขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ และเมื่อท่านได้ไปบอกเรื่องนี้แก่โยมพ่อโยมแม่ ก็ไม่ขัดและให้การสนับสนุนโดยการฝากฝังถวายเด็กชายสาคร ไพสาลี ให้เป็น ลูกบุญธรรม ของหลวงปู่ทิม ด้วยมีความเชื่อว่าถ้าถวายตัวเป็นลูกแล้ว การจะขออะไร หรือจะเรียกอะไร ก็จะได้ไม่ติดขัดอีกอย่างโยมพ่อของหลวงพ่อสาครเองก็มีความสนิทสนมกับหลวงปู่ทิมมาช้านาน
วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559
คชกุศ ตะขอช้าง พลาย เอกทันตะ มหาบารมี
ขอช้าง เป็น เทพวราวุธของ พระพิฆเณศวร ซึ่งเป็นโอรสของพระอิศวร ขอช้างได้รับความนับถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งมงคลนั้น ตำราเล่าว่า " ในป่าหิมพานต์ ครั้งหนึ่งเกิดมีช้างพลายเชือกหนึ่งชื่อ เอกทันต์ เป็นช้างที่ดุร้ายมีฤทธิ์มากเที่ยวสร้างความเดือดร้อนให้เทวดาและมนุษย์จน อยู่ไม่เป็นสุข ไม่มีใครปราบได้ พระอิศวร จึงทรงมีบัญชาให้พระนารายณ์ลงมาปราบ ช้าง เอกทันต์ พยายามหลบหนีเพราะรู้ตัวดีว่าสู้ไม่ได้ พระนารายณ์ตามไปจนพบ และทรงใช้บ่วงบาศคล้องเอาช้าง เอกทันต์ ไว้ได้ แต่เกิดปัญหาว่าบริเวณที่จับช้างได้นั้น เป็นทุ่งกว้างโล่ง ไม่มีต้นไม้หาที่ผูกช้างไม่ได้ ในที่สุดจึงทรงปักตรีศูลอันเป็นเทพศาตราวุธลงไปในดิน แล้วตรัสสั่งให้เทพศาตราวุธนั้นเป็นต้นไม้ใหญ่ ทันใดนั้นเทพศาตราวุธก็กลายเป็นต้นมะตูมใหญ่ จึงทรงผูกช้างไว้กับต้นมะตูมทรมานจนช้างคลายพยศ แล้วเสด็จขึ้นทรงพร้อมกับหักกิ่งมะตูมอันเป็นหนามมาทำเป็นขอช้าง บังคับนำช้างไปเฝ้าพระอิศวร และต่อมา พระนารายณ์ก็ทรงมอบขอช้างนั้นแก่ พระพิฆเณศวร เป็นเทพอาวุธประจำพระองค์ดังกล่าวแล้ว ดังนั้นไม้มะตูมจึงถือว่าเป็นมงคล มักจะนำใบมะตูมใส่ลงไปในน้ำมนต์หรือรดน้ำมนต์แล้วก็เอาใบมะตูมทัดหู ด้วยถือว่าเป็นสิริมงคลเหมือนกับขอช้าง
คชกุศ หรือ อังกุศ หรือ อังกุศะ (สก. องฺกุศ; มค. องฺกุส) คือ ขอสับช้าง อันเปรียบเสมือนสิ่งมงคลและอาวุธประจำกายของควาญช้าง เพื่อที่จะใช้สั่งการช้างให้ทำตามคำสั่ง อย่างที่เราสามารถพบเห็นกันได้ทั่วไป ซึ่งบางที่เรียกว่า ตะขอช้าง บ้าง ขอสับช้าง บ้าง ขอจ๊าง บ้างแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า คชกุช นั้นถือเป็น ๑ ใน ๘ สิ่งมงคลของพราหมณ์เป็น หนึ่งในอาวุธสำคัญของพระพิฆเณศวรเจ้า สังเกตได้จากรูปปั้นหรือภาพวาดโบราณ ที่พระพิฆเณศวรจะถือตะขอช้างเอาไว้ในมือ อันเป็นเครื่องหมายถึงการขจัดเสียซึ่งอุปสรรค ขจัดภัย และเป็นบารมีมหาอำนาจเป็นมหามงคลอีกด้วยเป็นอาวุธของพระพุธ พระพุธเป็นเทวดานพเคราะห์ที่เป็นศุภเคราะห์ หรือดาวดี ให้ผลในทางอ่อนโยนไพเราะสุภาพ อ่อนโยน กริยามรรยาทเรียบร้อย วาจาไพเราะอ่อนหวาน มรรยาทสวยงามน่าเอ็นดู เป็นดาวที่มีวุฒิสูง ฉลาดในเชิงพูด มีลิ้นเป็นนักการพูด เป็น ”เจ้าแห่งวาทะศิลป” มีความคิดละเอียดสุขุมดัง นั้น คชกุศ ย่อมเป็นเครื่องหมายแห่ง บารมี อำนาจวาสนา ความสำเร็จ ขจัดอุปสรรค สมควรที่ผู้ที่เคารพศรัทธาในพระพิฆเณศวร หรือต้องการความสำเร็จในเรื่องต่างๆจะบูชาไว้ และยังหมายถึงการเป็นผู้มีวาทะศิลป์ พูดจาหว่านล้อมมีคนนับถือเชื่อฟัง อันเป็นลักษณะของพระพุธ เนื่องจากเป็นอาวุธประจำของพระพุธ ผู้ที่เกิดวันพุธ หรือต้องมีการเจรจา ต้องคุมคน ต้องมีลูกน้อง ลูกค้า ต้องใช้คำพูดหรือบุคลิกในการติดต่อเจรจาทำการทำงาน ก็ควรที่จะได้มีบูชาไว้
คชกุศเป็นของมงคลมีพลังที่เปี่ยมไปด้วย มนต์ขลังแห่งครูปะกำ ที่สามารถค้ำคูณดวงชะตา และข่มสรรพอาถรรพ์ คุณไสย และสิ่งไม่ดีต่างๆได้อย่างชงัดมีผู้รู้กล่าวว่า เป็น เครื่องรางที่วิเศษ แต่หาได้น้อยเต็มที เพราะเข้าใจกัน เพียงว่า เป็นแค่เครื่องมืออย่างหนึ่งเท่านั้น คชกุศ ขอช้าง ขอสับช้าง หรือ ตะขอช้าง เป็นของอาถรรพ์ที่ เเรงครู สูงมาก ชนิดหนึ่งคชกุศ ขอช้าง ขอสับช้าง หรือ ตะขอช้าง เป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือกันในหมู่ผู้ศึกษาพระเวทย์ที่ รู้ลึกรู้จริง ว่าเป็นของมงคล ที่หาได้ยากยิ่ง และมีอานุภาพสูง หลายประการคือ เป็นของ โภคทรัพย์ จากการเป็นของอ หมายถึงการเกี่ยว การเหนี่ยวรั้งไว้ อีกประการคำว่าขอก็คือได้ เป็นคำมงคล ในภาคใต้จะมีพิธีการชนิดหนึ่งคือการฝัง กะโจ ที่เป็นคุณไสยแบบหนึ่งในสวนผลไม้ซึ่งหากใครกินผลไม้ในสวนนั้น โดยเจ้าของไม่อนุญาต ก็จะมีอาการผิดสำแดงจุกเสียด แก้อย่างไรก็ไม่หายต้องขอขมาและให้เจ้าของสวนมาแก้ จึงจะหายบางรายเจ้าของสวนไม่อยู่กว่าจะกลับมาแก้จุกตายคาสวน ก็มีจึงเป็นที่เกรงกลัว ไม่มีใครกล้าลักกินของในสวนโดยพละการ แต่เชื่อกันอีกว่า หากนำ คชกุศ ขอช้าง ขอสับช้าง หรือ ตะขอช้าง นี่เกี่ยวผลไม้นั้นก่อนก็สามารถนำมากินได้ โดยไม่มีอาการผิดสำแดงเรียกว่ากะโจนั้นแพ้อาถรรพ์ขอช้าง การตีมีดหมอหรือมีดชน๊อกในตำราของปักษ์ใต้ หรือตีกริชก็มักมีเหล็กอาถรรพ์หลายประการเช่น เหล็กพวยกา(กาน้ำพระเมื่อก่อนเป็นเหล็กเคลือบสี) เหล็กขอ คือ คชกุศ ขอช้าง ขอสับช้าง หรือ ตะขอช้าง เป็นสวนผสมอยู่เกือบทุกตำราเชื่อว่าข่มอาถรรพ์ดีนัก หากนำขอช้างนั้นมาประจุอาคมเพิ่มจะเป็นเครื่องรางชั้นยอดโดยนิยมบรรจุของ สำคัญเช่น เศษเชือกประกำ ตะไคร่เสาตะลุงช้างเผือก น้ำมันช้าง ผงวิเศษจากการลบยันต์หัสดี ยันต์หนุมานหักคอช้างเอราวัณ นะคชสาร จะมีอานุภาพสูงมีเทพวิญญาณมาสถิตย์คุ้มครองบนบอกได้ด้วยแรงครูประกำ ดีเด่นด้านโภคทรัพย์เรียกว่าเป็น นางกวักก็ได้ พ่อค้ารุ่นเก่า ที่เล่นเครื่องราง มักเสาะหา คชกุศ ขอช้าง ขอสับช้าง หรือตะขอช้าง มาให้อาจารย์ที่ตนนับถือลง อาถรรพ์เพิ่มเติมให้ หากนำมาไว้ที่บ้านยังเป็นของคุมอาถรรพ์ด้วยเชื่อว่ามีอานุภาพ บังคับทุกสิ่ง ให้เป็นไปในทางดี ไม่ก่อกำเริบเดือดร้อน หากผู้มีวิทยาคุณอื่นจะมาลองวิชาก็มักแพ้ภัยตัวเองไป เพราะอำนาจ เหล็ก คชกุศ ขอช้าง ขอสับช้าง หรือตะขอช้าง สะกดอาคมไว้มิให้แสดงฤทธิ์ได้นั่นเอง เป็นของดีที่ไม่ค่อยพบเห็นมากนักทั้งผู้รู้เรื่องก็มักปกปิดเก็บเงียบอมพนำ เสียก็เลยไปกันใหญ่
คชกุศ ขอช้าง ขอสับช้าง หรือตะขอช้าง นี้ ดีในทาง ควบคุมคน ให้ อยู่ใน อำนาจด้วยเพราะ เคยมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมีผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่อยู่ในโอวาท กระด้างกระเดื่อง เพราะก็ถือว่าเป็นดีมีวิชาเหมือนกัน ก็เลยเขียนชื่อเอาขอช้างสับสะกดไว้ปรากฏว่าเจออีกทีหงอเชื่องเชื่อฟังแต่โดย ดี เรื่องคือ ศาลาวัดหนึ่ง ผี นางไม้ดุมากคอยรบกวนผู้พักอาศัยให้เดือดร้อนอยู่เนืองๆ จนไม่มีผู้กล้าพักอาศัยยามค่ำคืน และเป็นผีที่เหลือมือหมอคือ เป็นประเภทพฤกษาเทวาอาคมธรรมดาไม่สามารถสะกดอยู่ จน วันหนึ่งนางไม้นี้มาสิ้นฤทธิ์อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อมีส่วยคณะหนึ่งเดินทางมาผ่านพักที่ศาลาหลังนี้พอนางไม้เริ่มออกฤทธิ์ เขย่าศาลาหัวหน้าคณะส่วยไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะไม่เคยเรียนมนตร์ปราบผี นึกถึงความศักดิ์สิทธิ์องค์ครูประกำได้ก็เอา คชกุศ ขอช้าง ขอสับช้าง หรือตะขอช้าง นี่สับไปที่เสาตกน้ำมัน ที่นางไม้นี้อยู่ ปรากฏว่าทีเดียวเท่านั้นนางไม้นั้นสิ้นฤทธิ์หมดพิษสงสงบเสงี่ยมเงียบจ๋อยไม่ มารบ กวนอีกเลย อ้าวก็ช้างตกมันตัวเบ้อเร่อเบ้อเท่อขออันเดียวยังสะกดอยู่เลย นางไม้ตัวเล็กๆจะเหลืออะไรเพราะในทางไสยเวทช้างเป็นสัตว์ที่มีรังควาน (อาถรรพ์) แรงเป็นสัตว์ที่มีฤทธิ์หรือมีดีในตัว เเม้ขนหางช้างหากนำมาทำเเหวนก็ยอดเรื่องป้องกันอาถรรพ์ต่างๆ คชกุศ ขอช้าง ขอสับช้าง หรือตะขอช้าง จึงมีความศักดิ์สิทธิ์ด้วยแรงครูประกำที่สูง มากจนข่มกันอยู่
ในทางไสยเวทช้างเป็นสัตว์ที่มีรังควาน (อาถรรพ์) แรงเป็นสัตว์ที่มีฤทธิ์หรือมีดีในตัว เเม้ขนหางช้างหากนำมาทำเเหวนก็ยอดเรื่อง ป้องกันอาถรรพ์ต่างๆ ขอช้างจึงมีความศักดิ์สิทธิ์ด้วยแรงครูประกำที่สูงมาก จนข่มกันอยู่ นักเลงวิทยาคมรุ่นเก่าจึงมักแสวงหาขอช้างที่ลงอาคมครูประกำ มาไว้ใน ครอบครองยิ่งขอนั้นสะกดช้างตกมันมาด้วยยิ่งนับถือว่าดี (แต่สุด ยอดคือขอช้างมงคลคือช้างเผือกที่สุดยอดหายากเลย) เพราะ เท่ากับได้ของมงคลพิเศษที่มีทั้งศรี คือความเป็นมงคลและเดชคืออำนาจในการสะกดข่ม อยู่ในตัว
สำหรับ ตะขอช้าง หรือ คชกุศ ที่นำออกให้บูชา ได้จัดสร้างขึ้นโดยควาญช้างผู้เชี่ยวชาญของล้านนาถูกต้องตามตำราที่สืบทอด กันมา จึงมีลักษณะตรง ใช้ไม้ไผ่ซึ่งโดยมากเป็นไม้ไผ่ตัน แตกต่างจากของทางภาคกลางที่พบมากเป็นเถาวัลย์รัด
คัดเลือกควาญช้างผู้มีประสบการณ์มีภูมิรู้เรื่องช้างมาหลาย สิบปี และได้ใช้กับช้างเพื่อเอาเคล็ดแล้ว โดยเป็นช้างตัวผู้เท่านั้น ไม่ได้ใช้กับช้างทั่วไปตัวไหนก็ได้ แต่จำเพาะว่าจะต้องเป็นช้างตัวผู้ที่มีงายาวโง้งเท่านั้นอีกด้วย ช้างที่ไม่มีงาก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน คำว่าเอกทันตะนี้มีผู้เอาบทความของทางร้านไปคัดลอกโดยเข้าใจผิดว่าเป็นชื่อ เฉพาะของตระกูลช้าง แต่ความจริงแล้วหมายถึงช้างที่มีงาเดียวโดยธรรมชาติที่หาได้ยากยิ่ง โดยได้ให้มีพิธีใช้กับช้างดังกล่าวเพื่อความเข้มขลัง
ขนาดยาวประมาณ 1 ฟุต ส่วนตะขอยาวประมาณ 5 นิ้ว ทั้งหมดทำย่อส่วนลงมา อาจใหญ่พอๆกับตะขอช้างที่บางท่านมี เนื่องจากท่านมีอาจเป็นช้างตัวเมีย หรือตะขอสำหรับช้างตัวเล็ก แต่เนื่องจากของเราต้องทำย่อส่วนเพราะหากเอาขนาดจริงมาให้บูชาจะมีขนาดใหญ่และหนักมาก เอาตั้งบนหิ้งหรือขันครูแล้ว คนที่เคยบูชาตะขอเก่าๆไปได้แนะนำว่า อยากได้อันย่อมลงมาพอเหมาะพอพกไปที่ต่างๆได้ เสียมากกว่า จึงได้จัดทำเป็นขนาดย่อส่วนลงมา
ทั้งนี้คำถามประจำคือ ได้ผ่านการใช้งานมาแล้วหรือไม่ ขอตอบว่าได้ผ่านการใช้งานมาแล้ว อันนี้หายห่วงได้ ถือเอาเคล็ดให้ครบแล้วทุกอย่าง เพียงแต่มีการบรรจุและปลุกเสกเพื่อเพิ่มพลังและเน้นด้านอิทธิคุณให้มากยิ่งขึ้นกว่าตะขอช้างเก่าธรรมดาๆ
วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559
งานพิธีนวราตรี และงานแห่ประจำปี ๒๕๕๙
งานพิธีนวราตรี และงานแห่ประจำปี ๒๕๕๙
วัดพระศรีมหาอุมาเทวี (วัดแขก สีลม)
ระหว่างวันที่ ๑ - ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙
กำหนดการ
.
.
วันเสาร์ที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙
พิธีบูชาองค์พระพิฆเนศวร (บรมครู)
พิธีเช้าเริ่มเวลา ๐๙.๐๐ น.
พิธีบูชาเทพประจำแผ่นดิน , เทพแห่งดาวนพเคราะห์ทั้งเก้า
พิธีบูชาเพื่อขออนุญาตต่อองค์มหาเทวี
และมหาเทพทั้งหลายที่ประดิษฐานภายในวัด เพื่อเริ่มพิธีนวราตรี ประจำปี ๒๕๕๗
พิธีเริ่มเวลา ๑๖.๐๐ น.
(หลังเสร็จพิธีอัญเชิญเทวรูปพระพิฆเนศวร ,องค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี
ออกแห่ในเส้นทางถนนปั้น)
วันอาทิตย์ที่ ๒ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙
เริ่มงานพิธีนวราตรี ประจำปี ๒๕๕๙
- พิธีเช้า ๐๙.๐๐ น. บูชาองค์พระแม่มหาทุรคา
- พิธีเย็น ๑๖.๐๐ น. บูชาองค์พระแม่มหาทุรคา
- เวลาประมาณ ๑๘.๓๐ น. อัญเชิญธงสิงห์ขึ้นเสา
วันจันทร์ที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙
พิธีบูชาองค์พระแม่มหาทุรคา
- พิธีเช้า ๐๙.๐๐ น.
- พิธีบูชาโฮมัม ๑๗.๐๐ น.
- พิธีบูชาใหญ่ ๑๙.๓๐ น.
วันอังคารที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙
พิธีบูชาองค์พระแม่มหาทุรคา
- พิธีเช้า ๐๙.๐๐ น.
- พิธีบูชาโฮมัม ๑๗.๐๐ น.
- พิธีบูชาใหญ่ ๑๙.๓๐ น.
วันพุธที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙
พิธีบูชาองค์พระแม่มหาลักษมี - เทวีแห่งโชคลาภความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์และเงินทอง
- พิธีเช้า ๐๙.๐๐ น.
- พิธีบูชาโฮมัม ๑๗.๐๐ น.
- พิธีบูชาใหญ่ ๑๙.๓๐ น.
วันพฤหัสบดีที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙
พิธีบูชาองค์พระแม่มหาลักษมี - เทวีแห่งโชคลาภความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์และเงินทอง
- พิธีเช้า ๐๙.๐๐ น.
- พิธีบูชาโฮมัม ๑๗.๐๐ น.
- พิธีบูชาใหญ่ ๑๙.๓๐ น.
วันศุกร์ที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙
พิธีบูชาองค์พระแม่มหาลักษมี - เทวีแห่งโชคลาภความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์และเงินทอง
- พิธีเช้า ๐๙.๐๐ น.
- พิธีบูชาโฮมัม ๑๗.๐๐ น.
- พิธีบูชาใหญ่ ๑๙.๓๐ น.
วันเสาร์ที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙
พิธีอภิเษกสมรสขององค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพ
- พิธีเช้า ๐๙.๐๐ น.
- พิธีบูชาโฮมัม ๑๗.๐๐ น.
- พิธีบูชาใหญ่ ๑๙.๓๐ น.
วันอาทิตย์ที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙
พิธีบูชาพระแม่บูชาองค์พระศิวะ
- พิธีเช้า ๐๙.๐๐ น.
- พิธีบูชาโฮมัม ๑๗.๐๐ น.
- พิธีบูชาใหญ่ ๑๙.๓๐ น.
วันจันทร์ที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙
พิธีบูชาองค์พระแม่มหาสรัสวดี
- พิธีเช้า ๐๙.๐๐ น.
- พิธีบูชาโฮมัม ๑๗.๐๐ น.
- พิธีบูชาใหญ่ ๑๙.๓๐ น.
.
.
งานแห่ประเพณีประจำปี ๒๕๕๙
.
เนื่องในวันวิชัยทัสสมิ (Vijaya Dasmi)
.
วันอังคารที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙
.
ขบวนแห่ออกจากเทวสถานวัดพระศรีมหาอุมาเทวี เวลา ๑๙.๓๐ น.
.
.
หมายเหตุ : สำหรับในวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๙ จะเป็นพิธีเชิญธงสิงห์ลง และอาบน้ำคณะพราหมณ์และคณะคนทรง โดยพิธีเริ่ม ๑๗.๐๐ น. ซึ่งเมื่อหลังจากเสร็จพิธี คณะพราหมณ์จะผูกข้อมือด้วยสายสิญจน์ที่ทำพิธีมาแล้วให้แก่สานุศิษย์ทุกท่านฟรี
ครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพรักยิ่ง
ครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพรักยิ่ง
หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่
หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ ท่านเกิดวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.
2422 โยมบิดาชื่อ แจ้ โยมมารดาชื่อ อินทร์ พอหลวงปู่ทิมท่านอายุได้ 17 ปี
โยมบิดาก็ได้นำตัวไปฝากกับท่านพ่อสิงห์
ที่วัดได้เล่าเรียนหนังสือกับพ่อท่านสิงห์เป็นเวลาหนึ่งปี
ก็สามารถเรียนรู้เข้าใจอ่านออกเขียนได้
แล้วโยมบิดาจึงมาขอลาหลวงปู่ทิมให้กลับมาช่วยทำงานที่บ้าน พออายุครบบวชหลวงปู่ทิมท่านจึงได้อุปสมบท
ในวันที่
7 มิถุนายน พ.ศ. 2449 ที่ วัดระหารไร่ โดยมีพระครูขาว วัดทิมมา
เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สิงห์เป็นพระอนุสาวนาจารย์
พระอาจารย์เกตุเป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อท่านบวชแล้วท่านก็อยู่จำพรรษาอยู่ที่วัด
1 พรรษา จึงได้ขออนุญาตพระอาจารย์ออกธุดงค์ไปหลายจังหวัดเป็นเวลา 3 ปี
พอใกล้เข้าพรรษาท่านก็ได้กลับมาที่วัด ตลอดเวลาที่หลวงปู่ทิมท่านธุดงค์ไปนั้น
ท่านก็ได้ร่ำเรียนวิชาต่างๆ ทั้งกับพระภิกษุและกับฆราวาส
อีกทั้งยังได้ศึกษาตำราของหลวงปู่เฒ่าสังข์ ซึ่งเป็นปู่แท้ๆ ของท่าน
ซึ่งเป็นพระปรมาจารย์ผู้เรืองเวทวิทยาคมอย่างยิ่งในสมัยนั้นต่อมาเมื่อ หลวงปู่ทิม
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดระหารไร่ ท่านก็ได้ซ่อมแซมกุฏิและอื่นๆ
อีกหลายอย่าง ด้วยความศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อท่าน
เมื่อท่านดำริว่าจะก่อสร้างพระอุโบสถก็สามารถสร้างแล้วเสร็จเรียบร้อยในระยะ เวลาเพียงหนึ่งปีเศษ
ต่อมาท่านก็ได้ก่อสร้างโรงเรียนประชาบาล โดยมีทางอำเภอและจังหวัดมาช่วย
ใช้เวลาเพียง 8 เดือนก็แล้วเสร็จ สามารถเปิดให้นักเรียนได้เข้าเรียนได้
และท่านก็ยังชักชวนชาวบ้านให้ช่วยกันสร้างสะพานข้ามคลองอีกหลายแห่ง
งานทุกอย่างก็สำเร็จเรียบร้อยทุกประการ เนื่องจากความเคารพเลื่อมใสของญาติโยมและชาวบ้านที่มีต่อหลวงปู่ทิม
ประวัติพระกริ่งชินบัญชร หลวงปู่ทิมพิมพ์เศียรโต คาถาพระเครื่องหลวงปู่ทิม
วัดละหารไร่ คาถาขุนแผนหลวงปู่ทิม
หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ท่านเป็นพระสมภะ
ไม่ยินดียินร้ายกับลาภยศสรรเสริญ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นประทวนเมื่อปี
พ.ศ. 2478
ท่านก็ไม่ได้บอกใครและไม่ได้ไปรับจนทางจังหวัดได้มอบตราตั้งให้ทางอำเภอนำมา
มอบให้ท่านที่วัด และเป็นพระครูทิม อิสริโก อยู่มาจนถึงปี พ.ศ. 2497
ทางคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งให้ท่านเลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตร ท่านก็ไม่ยอมบอกใคร จนทางอำเภอได้ส่งหนังสือไปที่วัด
ชาวบ้านจึงได้รู้กันและได้จัดขบวนแห่มารับท่านไปรับสัญญาบัตรพัดยศ
ที่เจ้าคณะจังหวัด และได้เป็นพระครูภาวนาภิรัต เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2507
ประวัติหลวงปู่ทิม วัดช้างให้ ประวัติหลวงปู่ทิม วัดพระขาว
เมื่อหลวงปู่ทิม ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์ พระครูภาวนาภิรัต
แล้วบรรดาศิษยานุศิษย์จึงได้ประชุมกัน ขออนุญาตหลวงปู่ทิม
จัดงานฉลองสมณศักดิ์ให้กับท่าน
เพื่อให้ญาติโยมได้มีโอกาสแสดงความยินดีและแสดงความกตัญญูกตเวทิตา ที่
หลวงปู่ทิมท่านได้มีเมตตาต่อเหล่าลูกศิษย์ หลวงปู่ทิมจึงขัดไม่ได้ นายสาย แก้วสว่าง
ในฐานะไวยาวัจกรและศิษย์ใกล้ชิดจึงได้นัดประชุมกรรมการและชาวบ้าน
ปรึกษากันว่าจะจัดฉลองสมณศักดิ์และเพื่อหารายได้สบทบทุนในการก่อสร้างกุฏิ
และบูรณะซ่อมแซมสิ่งของที่ชำรุดในครั้งนี้ โดยจะขออนุญาต
หลวงปู่ทิมเพื่อจัดทำเหรียญรูปเหมือนของท่าน เอาไว้แจกแก่พวกญาติโยมและศิษย์ทั้งหลาย
เพื่อเป็นที่ระลึกในการร่วมกันทำบุญในงานวันฉลองสมณศักดิ์ของท่าน เพราะใครๆ
ก็ย่อมทราบกันดีอยู่แล้วว่า หลวงปู่ทิมเป็นพระที่น่าเคารพบูชาอย่างยิ่ง
ท่านเป็นพระที่ยึดมั่นในพระธรรมพระวินัยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และเป็นพระมักน้อยสมถะ ไม่ยินดียินร้ายในสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น
รูปหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ท่านฉันอาหารเพียงมื้อเดียวเท่านั้น
และเป็นอาหารมังสวิรัติ หลวงปู่ทิม ท่านไม่ฉันพวกเนื้อสัตว์
แม้ในยามปัจฉิมวัยที่ท่านอาพาธท่านก็ยังปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย เคร่งครัดรักษาศีล
ยึดมั่นพระธรรมวินัย เท่าที่สังเกตดูปรากฎว่า ท่านจะฉันเช้าประมาณ 7 โมงเช้า
และฉันน้ำชาเวลา 4 โมงเย็น ถ้าเลยเวลาแล้วหลวงปู่จะไม่ยอมฉันเป็นเด็ดขาด
แม้แต่น้ำชา ท่านฉันมื้อเดียวมาตลอด 50 ปีแล้ว โดยที่ไม่มีอาหารพวกเนื้อหมู เป็ด
ไก่ หรืออาหารคาวทุกชนิดเลย แม้แต่น้ำปลาก็ไม่เคยฉัน อาหารที่หลวงปู่ทิม
ท่านฉันก็เป็นพวกผัก ถั่ว หรือเส้นแกงร้อน น้ำพริกกับเกลือป่น
เป็นประจำอยู่เป็นนิจตลอดมา
เนื้อหนังมังสาและผิวพรรณของท่านก็คงเป็นปกติอยู่ตามเดิม พละกำลังของ
หลวงปู่ทิมท่านก็แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ ทั้งนี้คงจะเป็นเพราะอำนาจบารมีของท่านที่เคยได้สร้างสมมาในชาติปางก่อน
จึงทำให้ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดและบริสุทธิ์ในธรรมวินัย
ดำรงชีวิตมาได้อย่างแข็งแรงและสมบูรณ์ หลวงปู่ทิม ท่านยังแข็งแรงสมบูรณ์
เดินไปไหนมาไหนได้สะดวก ท่านสายตาดีมากยังมองอะไรได้ชัดเจนดี
ฟันก็ไม่เคยหักแม้แต่ซี่เดียว ถึงแม้ว่าอายุของท่านเกือบจะ 100 ปีแล้วก็ตาม
จนท่านมรณภาพลงด้วยอาการสงบ ในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2518 หน้าหอสวดมนต์
วัดระหารไร่ สิริอายุได้ 96 ปี พรรษาที่ 69
พระขุนแผนผงพรายกุมาร ความนิยมสูงสุดและเป็น พระขุนแผน
ผงพรายกุมารที่แพงที่สุด
หลวงปู่ทิม ท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้ให้แก่ศิษย์หลายอย่าง เช่น
ตะกรุด ลูกอมผงพรายกุมาร พระกริ่งชินบัญชร พระขุนแผนผงพรายกุมาร
เหรียญและพระเครื่องต่างๆ หลายอย่าง พระขุนแผน หลวงปู่ทิม
เป็นที่นิยมอย่างมากเพราะประสบการณ์ด้านเมตตามหาเสน่ห์เป็นที่ประจักษ์
วัตถุมงคลที่ หลวงปู่ทิมท่านได้สร้างไว้ล้วนแต่มีประสบการณ์ต่างๆ มากมาย
ขุนแผนพรายกุมาร หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
พระขุนแผนผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
นั้นได้รับการยอมรับว่าเป็น พระขุนแผนยุคหลังที่มีความต้องการในตลาดสูงมากราคาขยับ
จนแพงกว่าพระขุนแผน พระกรุเก่าๆ ผงพรายกุมารมหาภูติ ที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า
"ผงพรายกุมาร" การทำผงพรายกุมาร นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ผู้สร้างจะต้องกำหนดฤกษ์ผานาทีตลอดจนพิธีกรรมต่างๆ ให้ถูกต้องตามตำรา
ซึ่งเคล็ดการจะเป็นเคล็ดการสร้างโดยนำภูติ (ไม่ใช่ผี)
ที่ยังไม่ถึงเวลาจุติแล้วมีเหตุต้องมีอันเป็นไปก่อนเวลาอันควร มาอธิษฐานจิตบวชให้เป็นเทพ
ซึ่งพระเกจิอาจารย์ที่ทำได้จะต้องสำเร็จธรรมชั้นสูงเท่านั้น
เมื่อภูติได้รับการบวชเป็นเทพ เราจะเรียกว่า "พ่อพลาย" ชื่อเต็มก็คือ
"พ่อพรายมหาภูติ" มีฤทธิ์ มีเดช มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง
พระเกจิอาจารย์ที่สร้าง ผงพรายกุมารได้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้อาราธนาพกติดตัว 100%
ที่วงการยอมรับถือเป็นต้นตำรับ ก็คือ หลวงพ่อเต๋ คงทอง วัดสามง่าม จ.นครปฐม
ผู้สร้างกุมารทองอันโด่งดังจนถึงปัจจุบันกับ หลวงปู่ทิม อิสริโก แห่งวัดละหารไร่
จ.ระยอง นี้ละครับ พระขุนแผนของ หลวงพ่อเต๋ คงทอง และโดยเฉพาะ พระขุนแผนหลวงปู่ทิม
วัดละหารไร่ จึงได้รับความนิยมและแพงที่สุด
ดังนั้นเมื่อนำคุณเทพมารวมกับคุณพระทำให้ พระผงพรายกุมาร
มีประสบการณ์แปลกๆ เหนือกว่าพระทั่วไปครับ
เพราะพ่อพลายจะออกมาช่วยในเรื่องที่เป็นบุญเป็นกุศลคนที่ใช้ พระขุนแผนผงพรายกุมาร
เลยมักมีความรู้สึกแปลกๆ คล้ายๆมี six sense สัมผัสพิเศษต่างๆอยู่เสมอจะเห็นผลไวกว่าการใช้คุณพระทั่วไป
ชาวอินเดียเชื่อว่า กำเนิดของการฟ้อนรำมีความสัมพันธ์กับเทพ ๒ องค์ คือ พระศิวะ และ พระพรหม ตำนานหนึ่งกล่าวว่าพระศิวะเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการฟ้อนรำขึ้นในขณะที่อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่าผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาดังกล่าวนี้คือพระพรหม ตำนานการฟ้อนรำที่เชื่อว่าพระศิวะเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทขึ้นนั้นปรากฏอยู่ใน “โกยิลปุราณะ” ซี่งเป็นคัมภีร์ปุราณะของทมิฬ เรื่องราวมีอยู่ว่ามีฤษีพวกหนึ่งพร้อมด้วยภรรยาตั้งอาศรมอยู่ในป่าตารกะ ต่อมาฤษีกลุ่มนี้ประพฤติผิด อนาจาร ฝ่าฝืนเทวบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า พระศิวะเห็นว่าฤษีเหล่านี้เป็น ผู้มีมิจฉาทิฏฐิ ควรที่จะได้รับการสั่งสอนให้รู้จักความรับผิดชอบ พระองค์จึงได้ชวนพระนารายณ์เสด็จมายังมนุษยโลกเพื่อที่จะทรมานฤษีเหล่านี้ พระอิศวรทรงแปลงพระองค์เป็นฤษีหนุ่มรูปงาม และให้ พระนารายณ์แปลงเป็นภรรยาสาวรูปร่างสวยงาม น่าเสน่หา พากันตรงไปยังป่าตารกะ เมื่อฤษีกลุ่มดังกล่าวเห็นก็พากันกำหนัดลุ่มหลงรักใคร่นางนารายณ์ ฝ่ายภรรยาฤษีก็พากันหลงใหลฤษีแปลง จึงวิวาทกันด้วยอำนาจราคจริต เนื่องจากต่างพยายามที่จะเกี้ยวคนทั้ง ๒ แต่ไม่สำเร็จ ฤษีตนหนึ่งได้เตือนว่าฤษีหนุ่มและภรรยานั้นคงจะมิใช่มนุษย์ธรรมดาจากนั้นก็ได้เล่าเรื่องให้ฤษีทุกตนทราบเรื่อง เหล่าฤษีต่างพากันสาปแช่ง ขณะกำลังประกอบพิธีบูชายัญได้ปรากฏเสือใหญ่ตัวหนึ่งในกองเพลิงตรงเข้าหาฤษีแปลง แต่ฤษีแปลงก็มิได้หวั่นกลัว จับเสือขึ้นมาและถลกหนังเสือมาครองแทนผ้า แต่เหล่าฤษีก็ยังไม่ยอมแพ้กลับนิรมิตงูใหญ่ขึ้นอีกตัวหนึ่ง ฤษีแปลงก็จับงูมาคล้องคอเป็นสังวาล ฤษีทั้งหลายจึงสิ้นฤทธิ์ในที่สุด พระอิศวรและพระนารายณ์ก็กลายร่างกลับคืนดังเดิม และได้กล่าวคำสั่งสอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี จากนั้นพระองค์ทรงเริ่มต้นฟ้อนรำ
ขณะนั้นมียักษ์ตนหนึ่งชื่อ มุยะคะละ หรืออสูรมูลาคนี เข้ามาขัดขวางเพื่อจะช่วยฤษีพวกนั้น พระอิศวรจึงใช้พระบาทเหยียบอสูรตนนั้น แล้วร่ายรำด้วยท่าทางอันงดงาม โดยมีเทวดา ฤษี มาเฝ้าดูด้วยความพิศวงในท่าอันงดงาม เมื่อจบการฟ้อนรำ เหล่าฤษีก็ละทิฐิ ต่างพากันขอขมาโทษต่อพระอิศวรและพระนารายณ์
การฟ้อนรำของพระอิศวรที่ปรากฏต่อสายตาประชาชนเป็นครั้งแรกนั้น เกิดขึ้นเมื่อพระยา อนันตนาคราชหรือ เศษนาคราช ซึ่งเป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ ใคร่ที่จะได้ชมการฟ้อนรำของ พระอิศวรอีก จึงทูลขอต่อพระนารายณ์ พระนารายณ์ทรงแนะนำว่า การที่จะไปทูลพระอิศวรให้ทรงแสดงการฟ้อนรำอีกครั้งหนึ่งนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ และยังเป็นการไม่สมควร แต่ก็ยังมีวิธี กล่าวคือพระอนันตนาคราชต้องไปบำเพ็ญตบะ ทำพิธีบูชาพระศิวะที่เชิงเขาไกรลาส พระศิวะจะเสด็จมาประทานพรเอง พระยาอนันตนาคราชก็ได้ทำตามที่พระนารายณ์แนะนำ พระศิวะก็ได้ประทานพรให้ตามที่ขอ ทรงกำหนดสถานที่ให้ในมนุษยโลก ณ ตำบลจิดัมทรัม (Chidambaram) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย เป็นสถานที่ที่พระองค์จะเสด็จมาฟ้อนรำให้มนุษยโลกชมเป็นครั้งแรก เมื่อถึงกำหนดพระศิวะเสด็จมาถึง ณ ที่นั้น พร้อมด้วยบริวาร ทรงนิมิตสุวรรณศาลาขึ้น และเริ่มต้นการฟ้อนรำ ให้แก่พระยาอนันตนาคราชและมนุษย์ได้ชม
จากตำนานดังกล่าว ชาวฮินดูเชื่อว่า เมืองจิดัมทรัม เป็นสถานที่ที่พระอิศวรเสด็จลงมาแสดงการฟ้อนรำบนโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก จึงคิดสร้างเทวรูปของพระองค์ ปางฟ้อนรำ เรียกว่า “นาฏราช” หรือ “ศิวนาฏราช” และช่วยกันจำหลักท่ารำ ๑๐๘ ท่าของพระอิศวรไว้ที่เสาไม้ทางตะวันออกที่ทางเข้ามหาวิหาร ท่ารำเหล่านี้ตรงกับที่กล่าวไว้ในตำรา “นาฏยศาสตร์” ซึ่งรจนาโดยพระภรตมุนี ท่าฟ้อนรำเหล่านี้ถือเป็นแบบฉบับของนาฏศิลป์อินเดีย ซึ่งต่อมาได้แพร่หลายไปทั่วประเทศ และแพร่กระจายมาสู่ดินแดนไทย
ส่วนตำนานการฟ้อนรำที่เชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้ประสาทวิชานั้น มีที่มาจากความเชื่อที่ว่า ครั้งหนึ่งเหล่าเทพต้องการให้มีงานรื่นเริงสนุกสนานจึงทูลขอต่อพระพรหม พระพรหมจึงได้สร้าง “นาฏยเวท” (NATAYA VEDA) โดยทรงหยิบสาระสำคัญจากคัมภีร์พระเวททั้งสี่มารวมกัน ดังนี้
ภาษาและถ้อยคำจากฤคเวท (RIGVEDA)
กิริยาท่าทางและลีลาจากยชุรเวท (YAGUR VEDA)
การขับลำนำแบบการสวดจากสามเวท (SAMA VADA)
รสมาจากอาถรรพเวท (ATHARVA VEDA)
จากตำนานข้างต้น กล่าวได้ว่าไทยรับอิทธิพลรูปแบบการฟ้อนรำมาจากตำนานพระอิศวร พิสูจน์ได้จากท่ารำแม่บทของนาฏศิลป์ไทยนั้นมี ๑๐๘ ท่า ซึ่งมีเค้ามาจากท่า “นาฏราช” ตามตำนาน ศิวนาฏราช อีกทั้งเทวรูปที่คนในวงการนาฏศิลป์เคารพนับถือคือเทวรูปศิวนาฏราช
ท่านใดสนใจ สอบถามได้ครับ ราคาเท่ากับที่จอง
กระดาษสารพัดกัน หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ปี 18
ผู้
ที่นับถือหลวงปู่ทิมในยุคก่อน ถ้าเคยไปวัดละหารไร่ ตอนที่หลวงปู่มีชีวิตอยู่
หลวงปู่มักจะแจก “รูปกระดาษที่มียันต์ล้อมรอบ (กระดาษสารพัดกัน)” ให้แก่ผู้ที่ไปกราบท่านและบอกว่าให้นำไปติดรถหรือติดบ้าน
รูปกระดาษนี้ทางคุณชินพร สุขสถิตย์ ได้ย่อมาจากรูปถ่ายสีชมพูแผ่นใหญ่
จุดประสงค์ผู้สร้างต้องการให้ผู้รับนำรูปกระดาษนี้นำไปติดรถหรือพกใส่
กระเป๋าไว้เพื่อป้องกันตัว เพราะยันต์ที่หลวงปู่ทิมลงในกระดาษนี้เป็นยันต์สุดยอดในด้านป้องกันตัวและ
แคล้วคลาด..แถมยังเป็นเมตตามหานิยม พูดง่ายๆ ว่าครอบจักรวาลทีเดียว
เวลาผู้เขียนนวดท่านในตอนกลางคืน ท่านหยิบรูปกระดาษนี้และพูดว่า “เพียรเชื่อไหม รูปนี้มีพุทธคุณเทียบเท่าตะกรุด 1 ดอกทีเดียว”
(หลวงปู่มักเรียกผู้เขียนสั้นๆ ว่าเพียร) สำหรับชื่อที่หลวงปู่ทิมจะเรียกลูกศิษย์ของท่านแต่ละคนนั้น
ผู้เขียนจะขอบอกให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจ
เพราะการเขียนในครั้งนี้เขียนทำคำบอกเล่าที่หลวงปู่มีชีวิต
และพวกเราในยุคนี้มีชื่อทันสมัย
ท่านก็เรียกชื่อยาก..ท่านจึงเรียกตามความเข้าใจของท่าน เช่นคุณชินพร สุขสถิตย์ หลวงปู่จะเรียกว่า
“พร”คุณประชา ตรีพาสัย
หลวงปู่จะเรียกว่า “คนขายยา” (บ้านคุณประชาเป็นร้านขายยา)คุณอารมณ์
ทับสุวรรณ หลวงปู่จะเรียกว่า “คนพระมาก” (คุณอารมณ์ชอบใส่พระไว้ที่คอมากๆ)คุณวิรัช ชำนาญณรงค์ หลวงปู่จะเรียกกว่า “จอมโวกวาก” (คุณวิรัชเวลาพูดมักจะเสียงดัง)คุณสุขุม
แสงชูวงศ์ หลวงปู่จะเรียกว่า “คนทดน้ำ” (ทำงานเป็นหัวหน้าอยู่ที่กรมชลประทาน)คุณมงคล นาคแพน หลวงปู่จะเรียกว่า “ช่างทำโบสถ์” (ช่างรับเหมาทำโบสถ์)
ซึ่งแต่ละบุคคลก็มีบทบาทและหน้าที่ไปตามความสามารถของตนเอง
ถ้าผู้เขียนกล่าวถึงใครก็ขอให้ท่านผู้อ่านทราบด้วยว่าเป็นใครนะครับจะ
กล่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์ของรูปถ่ายกระดาษ ที่เราๆ มักจะเรียกกันว่า “รูปนะกัน” (หรือกระดาษสารพัดกัน) ตามที่
อาจารย์ดุษฎี ศิริโวหาร ได้บันทึกไว้ว่า เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์
2518 มีโจรพวกหนึ่ง 4 คน
ได้เกิดดวลปืนกลมือกับตำรวจ สภ.อ.บ้านค่าย ฝ่ายโจรมีเอ็ม 16 ประจำตัว
ฝ่ายตำรวจมีเพียงปืนนาโต้และคาบินเอ็ม 1 ผลปรากฏว่าฝ่ายโจรตาย
3 คนและหลบหนีไปได้ 1 คน
(ภายหลังตำรวจจับได้) ฝ่ายตำรวจไม่มีใครเสียชีวิตเลยจะมีก็บาดเจ็บที่ไหล่เล็กน้อย 1
คน เนื่องจากคนร้ายยิงด้วยเอ็ม 16 กระสุนโดนโครงรถ
เศษตัวถังหลุดกระเด็นไปโดนหัวไหล่บาดเจ็บเล็กน้อยหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเสนอข่าวพาดหัวจนดังมากในยุคนั้น
สถานที่เกิดเหตุอยู่ไม่ไกลจากบ้านคุณดุษฎีเท่าไหร่นัก
ดังนั้นคุณดุษฎีจึงต้องเข้าหาข้อเท็จจริงอย่างใกล้ชิด โดยขอพบ พ.ต.ต.นูล โสมทัต
ผบ.สภ.อ.บ้านค่าย (เดี๋ยวนี้ท่านเป็น พ.ต.อ.ชื่อดังมากในกรณีเพชรซาอุ)
ท่านก็ได้กรุณาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าขณะที่ตำรวจตำบลหนองกรับได้ทำการตรวจรถยนต์อยู่ที่ด่านหัวชวด
เวลาประมาณ 22.30 น.
ได้มีรถยนต์มาสด้าปิ๊คอัพสีเหลืองวิ่งผ่านด่านไป โดยไม่ยอมให้ตรวจ
ตำรวจประจำด่านจึงได้ขอยืมรถยนต์อีซูซุไล่กวด พอจะทันกันห่างประมาณ 20 เมตร คนร้ายได้ยิงด้วยเอ็ม 16 รัวไปที่รถยนต์ของตำรวจหนองกรับประมาณ
20 นัด
กระสุนไปโดนรถยนต์และกระจกหน้าแตกและทะลุไปโดนกระจกหลังแตก แต่เป็นที่มหัศจรรย์มาก
กระสุนปืนไม่ถูกตำรวจที่นั่งในรถเลย มีอยู่นัดหนึ่งเท่านั้นที่โดนตัวถังรถ
เหล็กฉีกกระเด็นไปโดนหัวไหล่ของ พลตำรวจบรรยง คุ้มหอม ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
จากนั้นคนร้ายก็ได้หลบหนีไปเนื่องจากคนร้ายมีอาวุธร้ายแรง พ.ต.ต.นุล
จึงวิทยุรายงานไปที่ พ.ต.ต.วิทยา สุทธิการนฤนัย ผกก. ทราบ
และนำกำลังออกสกัดทุกจุดที่คิดว่าคนร้ายจะหนีไป จากนั้น พ.ต.ต. นุล โสมทัต จึงได้เตรียมอาวุธปืนเท่าที่
สภ.อ.บ้านค่ายจะมีคือ ปืนกลมือนาโต้และคาไบด์ นำกำลังตำรวจออกติดตามในคืนนั้นเอง
ได้พบกับพวกโจรที่บ้านชะวึก จึงเกิดการดวลปืนกลมือกันขึ้นท่างกลางเดือนหงาย
ภายในรถยนต์ปิ๊คอัพสีฟ้ายี่ห้อโตโยต้า ประจำ สภ.อ.บ้านค่าย ซึ่งมี พ.ต.ต.นูล และนายสิบตำรวจ
2 นายขับรถสวนกับคนร้าย ฝ่ายคนร้ายได้สาดกระสุนอย่างบ้าคลั่ง
ฝ่ายตำรวจก็ตอบโต้อย่างไม่ลดละ..เสียงดังสนั่นหวั่นไหว..นับว่าเป็นศึกดวล
ปืนกลมืออย่างแท้จริง ผลปรากฏว่าคนร้ายตาย 3 คนบาดเจ็บและโดนจับได้
1 คน จากเหตุการณ์นี้ทำให้คุณดุษฎี ศิริโวหาร อยากทราบว่าพวกคนร้ายมีพระอะไรห้อยคอบ้างและฝ่ายตำรวจใช้พระอะไร
ผลลัพท์หรือครับ..ฝ่ายโจรไม่มีพระเครื่องใดๆ ทั้งสิ้น..แต่ฝ่ายตำรวจโดยเฉพาะ
พ.ต.ต.นุล โสมทัต มีพระเครื่องหลวงปู่ทิมอยู่หลายองค์ที่เดียว
ส่วนตำรวจที่ไปด้วยก็มีตะกรุดโทนของหลวงปู่อยู่ทุกคน มีข้อสังเกตอยู่ที่ว่า
รถยนต์โตโยต้าสีฟ้าประจำอยู่ที่ สภ.อ.บ้านค่าย
ซึ่งเป็นคันที่ผู้กองนูลนั่งและวิ่งสวนกับรถคนร้ายนั้น
กระสุนของฝ่ายโจรไม่ได้โดนรถคันนี้เลย
ทั้งที่คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงายสว่างมากทีเดียว
และปืนที่คนร้ายใช้ยิงก็เป็นปืนสงครามคือเอ็ม16 ที่มีความแม่นยำสูงมาก
กระสุน .223 ที่มีอัตราการยิงเร็ว 600 นัดต่อนาทีและความเร็วเป็นสองเท่าของเสียง
คือ 1,005 เมตรต่อวินาที
การที่กระสุนไม่ถูกตำรวจและรถยนต์เลย
ถ้าไม่เรียกว่าปาฏิหาริย์ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร และในรถยนต์ของผู้กองนูล
มีกระดาษยันต์สารพัดกันติดอยู่แผ่นเดียว สำหรับกระดาษยันต์สารพัดกันนี้
ปัจจุบันมีของเทียมแล้วครับ กระดาษจะหนาและไม่มีความเก่า
ถ้ามีของแท้ก็จะสามารถเปรียบเทียบให้เห็นได้
ถ้าใครจะเช่าซื้อก็ให้ระวังหน่อยก็แล้วกัน สำหรับตัวผู้เขียนในสมัยนั้นได้มามาก
ก็แจกจ่ายสร้างบารมีไปเรื่อยๆ จนหมดแต่ถ้าท่านผู้อ่านนับถือหลวงปู่ทิมอย่างจริงใจ
ผู้เขียนได้รับรูปกระดาษยันต์จากคุณประชา ตรีพาสัย มาประมาณ 200 รูป ซึ่งรูปกระดาษยันต์นี้คุณประชาได้ทำการแจกจ่ายเมื่อ ปี พ.ศ. 2537
ได้นำเข้าพิธีปลุกเสกมาหลายคณาจารย์ ครั้งสุดท้ายได้นำไปให้
หลวงปู่บุญ วัดบ้านนา จ.ระยอง อัดพลังจิตอย่างเต็มที่ (หลวงปู่บุญ
เป็นพระสงฆ์ที่มีวัตรปฏิบัติเหมือนหลวงปู่ทิมมาก) และรูปกระดาษยันต์
ผู้ที่ได้รับไปต่างก็ประสพกับความศักดิ์สิทธ์ต่างๆ
ตามแต่จะอธิษฐานบทความจากหนังสือร่มโพธิ์
ท่านสนใจหาเช่าได้น่ะครับ รับรองท่านจะไม่ผิดหวังอย่างเเน่นอน
ล็อคเก็ตบุญญาภิรัติ หลวงปู่ทิม อิสริโก รุ่นไหว้ครู ๕๕
ก.ก.เล็ก จัดสร้างทั้งหมดจำนวน ๙๙๙ ชุด
การจัดสร้างล็อกเก็ตรุ่นนี้ก็เพื่อเป็นการรำลึกนึกถึงครูบาอาจารย์และเป็นการเผยแพร่บารมีหลวงปู่ทิม รายได้จากการนี้จะนำไป
1.จัดสร้างวิหารพระครูเมตตาธิการี (นิยม กนตฺจาโร) วัดตะเคียนเตี้ย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
2.บูรณะพระอุโบสถ วัดทุ่งนาใหม่ จ.อุทัยธานี
3.ร่วมสร้างศาลา วัดดงแขวน จ.อุทัยธานี
การจัดสร้างล็อกเก็ตรุ่นนี้ก็เพื่อเป็นการรำลึกนึกถึงครูบาอาจารย์และเป็นการเผยแพร่บารมีหลวงปู่ทิม รายได้จากการนี้จะนำไป
1.จัดสร้างวิหารพระครูเมตตาธิการี (นิยม กนตฺจาโร) วัดตะเคียนเตี้ย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
2.บูรณะพระอุโบสถ วัดทุ่งนาใหม่ จ.อุทัยธานี
3.ร่วมสร้างศาลา วัดดงแขวน จ.อุทัยธานี
วัตถุมงคลรุ่นนี้ได้นำชนวนมวลสารต่างๆในพิพิธภัณฑ์ ที่หลวงปู่ทิมท่านได้ปลุกเสกไว้ นำมาบรรจุหลังล็อกเก็ตรุ่นนี้มากเป็นพิเศษ ทั้งยังได้รับความเมตตาจากหลางพ่อสาคร ปลุกเสกให้เป็นกรณีพิเศษอีกด้วย
ล็อกเก็ต อุดผง ฝังพลอยเสก จีวรหลวงปู่ทิม โรยผงชนวนทุกองค์ ผงชนวนที่โรย มี ผงชนวนกริ่งชินบัญชรปี ๑๗ ผงชนวนหลวงพ่อสาคร ผงกรามช้างน้ำ แป้งและทรายเสกหลวงปู่ทิม ผงกะลาตาเดียว และผงทองบรอนฝุ่นที่ใช้ผสมทาพระเมื่อปี ๑๗ ทาน้ำมันที่หลวงปู่ทิมเสก รวมทั้งน้ำมันลูกประคำที่หลวงปู่ทิมเสกไว้ทุกองค์
วัตถูมงคล ตอกโค๊ดและหมายเลขทุกองค์
ท่านใดสนใจ มี 1 ชุด หมายเลข 582 ครับ ราคาไม่แพง
ผมเน้นสำหรับคนที่ยังไม่มีหลวงปู่ทิม บูชานั้น เพราะผมไม่ได้หวังกำไร
ผมหวังเพียงให้คนนำไปห้อยคลองคอ มากกว่า พุทธพาณิชย์
พระขุนแผนเทพนิมิต หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ ปลุกเสก
พิพิธภัณฑ์บุญญาภิรัติ เป็นที่รวมรวบของต่างๆ ที่เกี่ยวกับ ลป.ทิม วัดละหารไร่ ไว้มากที่สุดของทุกอย่างตั้งแต่ของใช้ของหลวงปู่ พระเครื่องล้ำค่า และที่สำคัญที่สุดคือชนวนมวลสารเก่าของ ลป.ทิม และของพระเกจิต่างๆ อีกมากมายซึ่งพิพิธภัณฑ์บุญญาภิรัติ ไดมอบสำหรับการจัดสร้างขุนแผนรุ่น เทพนิมิต
มวลสารที่ใส่ในพระขุนแผนรุ่น “เทพนิมิต” (ตามสูจิบัตร)
ผง หลวงพ่อวัดปากน้ำ ,ภาษีเจริญ ผงหัวใจปถมัง หลวงปู่ทิม, ผงอิทธิเจ หลวงปู่ทิม ,
ผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม ,ผงจินดามณี หลวงปู่ทิม ,แป้งเสกหลวงปู่บุดดา ,ทรายเสกหลวงปู่บุดดา ,ข้าวสารดำหลวงปู่ทิม ,ผงสีบรอนซ์ทองเก่าหลวงปู่ทิม ลสีผึ้งผีหุง ,สีผึ้งยุคแรกเนื้อสีดำ ,สีผึ้งยุคแรกเนื้อสีเหลือง ,ผงตะไบอุตตโม ,ลูกอมยุคแรกของหลวงปู่นิยม ,ว่านไพล ,ผง 12 นักษัตรหลวงปู่เริ่ม ,ผงหลวงพ่อนิยม วัดตะเคียนเตี้ย ,ว่าน 108 หลวงพ่อนิยม ,พระผงเก่าหลวงพ่อนิยม ,ผงขมิ้นเสก ,ผงพระเก่าหลวงพ่อสาคร ,จีวรหลวงพ่อสาคร ,พระผงเนื้อว่านดอกทองหลวงพ่อสาคร,แป้งเสกสัตตมาส ,น้ำมันมนต์ ,ลูกอมผงพรายกุมารหลวงปู่ทิม ,ว่านปลาไหลเผือก ,ว่านไพลดำ ,ผงว่านยา ใบและกิ่งกาฝาก ,ผงพระธาตุสิวลี วัดถ้ำเขากวางทอง อุทัยธานี ,ผงแร่ธรรมชาติเนื้อดำ-เหลือง-แดง-ขาว-เทา ผงเถ้าอังคารหลวงปู่ทิม ,เขาควายเผือกตายพราย ,ชนวนกริ่งชินบัญชร ,สีผึ้งหลวงปู่ญาท่านสวน ,ผงใบโพธิ์เสก ผงไม้กฤษณา ,ผงตะไบชนวนเก่าหลวงพ่อสาคร ,พระผงปี ๒๕๓๐ หลวงพ่อสาคร ,ผงแผ่บารมี ,ผงไม้เทพทาโร น้ำมัน มนต์เสกในโบสถ์ ,ผงหอม ,พระธาตุวัดตะเคียนเตี้ย ,เกศาหลวงพ่อสาคร ,ผงกะลาไม่มีตาหลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์ ,ผงกะลาตาเดียวหลวงพ่อสาคร ,ผงกะลาตาเดียวหลวงปู่ทิม ,ผงกะลาตาเดียวหลวงพ่อนิยม วัดตะเคียนเตี้ย น้ำมันมหาทมึนหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส
มวลสาร สำหรับจัดสร้างขุนแผน รุ่นเทพนิมิต ที่พิพิธภัณฑ์บุญญาภิรัติที่พิพิธภัณฑ์บุญญาภิรัติ คงพูดได้อย่างเต็มปากเลยครับ ว่าเป็นที่รวมรวบของต่างๆ ที่เกี่ยวกับ ลป.ทิม วัดละหารไร่ ไว้มากที่สุดของทุกอย่างตั้งแต่ของใช้ของหลวงปู่ พระเครื่องล้ำค่า และที่สำคัญที่สุดคือชนวนมวลสารเก่าของ ลป.ทิม และของพระเกจิต่างๆ อีกมากมายซึ่งพิพิธภัณฑ์บุญญาภิรัติ ได้มอบสำหรับการจัดสร้างขุนแผนรุ่น เทพนิมิต วัตถุประสงค์เพื่อจัดสร้างพระอุโบสถวัดเทพนิมิต จ.อุทัยธานีขุนแผนรุ่นเทพนิมิตร ปลุกเสกโดย พระครูมนูญธรรมวัตร (หลวงพ่อสาคร มนุญโญ) วัดหนองกรับ
มวลสารที่สำคัญประกอบด้วย
มวลสารที่สำคัญที่สุดคือ ผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม
ผงท่านเจ้าคุณนรฯ และ ชนวนตะไบพระกริ่งชินบัญชร ลป.ทิม
ผงหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพ
ผงหัวใจปถมัง หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
ผงอิทธิเจ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
ผงมหาจินดามณี หลวงปู่ทิม วัดไร่วารี
ผงหัวอิติปิโสรัตนมาลา หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
ผงมหาราช หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
แป้งเสกสัตตะมาตร ลป.ทิม
ผงไตรมาสเจ้าคุณนรรัตน์
แป้งเสก ลป.บุดดา
ข้าวสารดำเสกของหลวงปู่ทิม
บรอนซ์ฝุ่นเดิม ที่ใช้ทาขุนแผน ลป.ทิม
น้ำมันมนต์ ที่หลวงปู่ทิมปลุกเสกในอุโบสถ วัดละหารไร่ เมื่อปี 2516
ลูกอมผงพรายกุมาร
ผงพระเก่าของหลวงพ่อสาคร
พระผงเก่า ปี 30 หลวงพ่อสาคร
ตระกรุดยันต์นะอกแตก หลวงพ่อสาคร
พระธาตุวัดตะเคียนเตี้ย
ผงเขาควายเผือกตายพราย
ผงอังคารหลวงปู่ทิม
ผงปัตถมัง หลวงปู่หิน
มวลสารที่ใส่ในพระขุนแผนรุ่น “เทพนิมิต” (ตามสูจิบัตร)
ผง หลวงพ่อวัดปากน้ำ ,ภาษีเจริญ ผงหัวใจปถมัง หลวงปู่ทิม, ผงอิทธิเจ หลวงปู่ทิม ,
ผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิม ,ผงจินดามณี หลวงปู่ทิม ,แป้งเสกหลวงปู่บุดดา ,ทรายเสกหลวงปู่บุดดา ,ข้าวสารดำหลวงปู่ทิม ,ผงสีบรอนซ์ทองเก่าหลวงปู่ทิม ลสีผึ้งผีหุง ,สีผึ้งยุคแรกเนื้อสีดำ ,สีผึ้งยุคแรกเนื้อสีเหลือง ,ผงตะไบอุตตโม ,ลูกอมยุคแรกของหลวงปู่นิยม ,ว่านไพล ,ผง 12 นักษัตรหลวงปู่เริ่ม ,ผงหลวงพ่อนิยม วัดตะเคียนเตี้ย ,ว่าน 108 หลวงพ่อนิยม ,พระผงเก่าหลวงพ่อนิยม ,ผงขมิ้นเสก ,ผงพระเก่าหลวงพ่อสาคร ,จีวรหลวงพ่อสาคร ,พระผงเนื้อว่านดอกทองหลวงพ่อสาคร,แป้งเสกสัตตมาส ,น้ำมันมนต์ ,ลูกอมผงพรายกุมารหลวงปู่ทิม ,ว่านปลาไหลเผือก ,ว่านไพลดำ ,ผงว่านยา ใบและกิ่งกาฝาก ,ผงพระธาตุสิวลี วัดถ้ำเขากวางทอง อุทัยธานี ,ผงแร่ธรรมชาติเนื้อดำ-เหลือง-แดง-ขาว-เทา ผงเถ้าอังคารหลวงปู่ทิม ,เขาควายเผือกตายพราย ,ชนวนกริ่งชินบัญชร ,สีผึ้งหลวงปู่ญาท่านสวน ,ผงใบโพธิ์เสก ผงไม้กฤษณา ,ผงตะไบชนวนเก่าหลวงพ่อสาคร ,พระผงปี ๒๕๓๐ หลวงพ่อสาคร ,ผงแผ่บารมี ,ผงไม้เทพทาโร น้ำมัน มนต์เสกในโบสถ์ ,ผงหอม ,พระธาตุวัดตะเคียนเตี้ย ,เกศาหลวงพ่อสาคร ,ผงกะลาไม่มีตาหลวงปู่แก้ว วัดเครือวัลย์ ,ผงกะลาตาเดียวหลวงพ่อสาคร ,ผงกะลาตาเดียวหลวงปู่ทิม ,ผงกะลาตาเดียวหลวงพ่อนิยม วัดตะเคียนเตี้ย น้ำมันมหาทมึนหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส
มวลสาร สำหรับจัดสร้างขุนแผน รุ่นเทพนิมิต ที่พิพิธภัณฑ์บุญญาภิรัติที่พิพิธภัณฑ์บุญญาภิรัติ คงพูดได้อย่างเต็มปากเลยครับ ว่าเป็นที่รวมรวบของต่างๆ ที่เกี่ยวกับ ลป.ทิม วัดละหารไร่ ไว้มากที่สุดของทุกอย่างตั้งแต่ของใช้ของหลวงปู่ พระเครื่องล้ำค่า และที่สำคัญที่สุดคือชนวนมวลสารเก่าของ ลป.ทิม และของพระเกจิต่างๆ อีกมากมายซึ่งพิพิธภัณฑ์บุญญาภิรัติ ได้มอบสำหรับการจัดสร้างขุนแผนรุ่น เทพนิมิต วัตถุประสงค์เพื่อจัดสร้างพระอุโบสถวัดเทพนิมิต จ.อุทัยธานีขุนแผนรุ่นเทพนิมิตร ปลุกเสกโดย พระครูมนูญธรรมวัตร (หลวงพ่อสาคร มนุญโญ) วัดหนองกรับ
มวลสารที่สำคัญประกอบด้วย
มวลสารที่สำคัญที่สุดคือ ผงพรายกุมาร หลวงปู่ทิม
ผงท่านเจ้าคุณนรฯ และ ชนวนตะไบพระกริ่งชินบัญชร ลป.ทิม
ผงหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพ
ผงหัวใจปถมัง หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
ผงอิทธิเจ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
ผงมหาจินดามณี หลวงปู่ทิม วัดไร่วารี
ผงหัวอิติปิโสรัตนมาลา หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
ผงมหาราช หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
แป้งเสกสัตตะมาตร ลป.ทิม
ผงไตรมาสเจ้าคุณนรรัตน์
แป้งเสก ลป.บุดดา
ข้าวสารดำเสกของหลวงปู่ทิม
บรอนซ์ฝุ่นเดิม ที่ใช้ทาขุนแผน ลป.ทิม
น้ำมันมนต์ ที่หลวงปู่ทิมปลุกเสกในอุโบสถ วัดละหารไร่ เมื่อปี 2516
ลูกอมผงพรายกุมาร
ผงพระเก่าของหลวงพ่อสาคร
พระผงเก่า ปี 30 หลวงพ่อสาคร
ตระกรุดยันต์นะอกแตก หลวงพ่อสาคร
พระธาตุวัดตะเคียนเตี้ย
ผงเขาควายเผือกตายพราย
ผงอังคารหลวงปู่ทิม
ผงปัตถมัง หลวงปู่หิน
พระผงพราย กุมาร หลวงปู่ทิม หลวงพ่อสาคร
พระผงพรายกุมาร หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ ศิษย์เอก หลวงพ่อปู่ทิม
มีประสบการณ์ต่างๆที่ปรากฏจากองค์พระเครื่องได้ก่อให้เกิดอภินิหารกล่าวขานแก่ผู้ที่นำไปบูชาติดตัวอย่างมากมาย หลายๆ คนที่เคยมองข้ามพระเครื่องต่างจังหวัดอย่าง หลวงปู่ทิม อิสสริโก แห่งวัดละหารไร่ จ.ระยอง ต้องหันกลับมาหาบูชาติดตัว หลายคนถึงกับเอ่ยปากว่า พระผงพรายกุมารถือเป็นที่สุดในบรรดาพระเนื้อผงทั้งหมดที่หลวงปู่ทิมเคยสร้างพระเครื่องเนื้อผงมา
พระผงพรายกุมาร เป็นพระเครื่องวัตถุมงคลที่ได้สร้างขึ้นโดยพระเกจิอาจารย์ยุคหลังๆ พ.ศ. 2500 นับได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาและไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยนัก ถึงพระชุดพรายกุมารจะกำเนิด ออกมาให้วงการพระเครื่องได้ชื่นชมหลายรุ่นหลายแบบ ตั้งแต่รุ่นใหญ่คือ พิมพ์ขุนแผน จนถึงรุ่นเล็ก เช่น ลูกอมผงพรายกุมาร แต่ด้วยความยากลำบากในการเสาะหา เพราะราคาที่สูงและของเทียมที่มีมาก จึงทำให้นักนิยมพระเครื่องบางคนกำหนดมาตรฐานเฉพาะตนขึ้นว่า ไม่มีพระขุนแผนใช้ลูกอมแทนก็ได้ เนื่องจากเนื้อหาและผู้เสกคือคนเดียวกัน
วัตถุมงคลหลวงปู่ทิมได้สร้างขึ้น ไม่ได้จำกัดเฉพาะผงพรายกุมารเท่านั้น หากแต่ยังมีพระเครื่องพระสมเด็จสร้างขึ้นจากผงพุทธคุณชนิดอื่นอีกมาก เช่น ผงจินดารูปทอง ผงโสฬสมหาพรหม โดยเฉพาะพระเนื้อผงโสฬสมหาพรหม ถือเป็นพระที่น่าจับตาว่าในอนาคตจะเป็นที่เล่นหาไม่น้อยไปกว่าพระเนื้อผง พรายกุมารเลยทีเดียว
หลวงพ่อสาคร มนุญโญ (พระครูมนูญธรรมวัตร) เจ้าอาวาสวัดหนองกรับ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ถือเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังรูปหนึ่งในสายวิชาของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ด้วยความที่หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับเป็นพระอาวุโสที่มากไปด้วยคุณธรรมพร้อมด้วยความสามารถในเชิงไสยศาสตร์ ทำให้พระเครื่องวัตถุมงคลที่ท่านได้สร้างขึ้นเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป
หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับเริ่มศึกษาเล่าเรียนวิชาคาถาอาคมกับหลวงปู่ทิมตั้งแต่ท่านอยู่ในวัยเยาว์วิชาความรู้ที่หลวงปู่ทิมได้สั่งสอนแก่ท่านเป็นครั้งแรกคือการนั่งสมาธิกรรมฐาน แต่ด้วยใจรักในเรื่องของคาถาอาคมและการได้อยู่ใกล้ชิดกับตักศิลาอย่างหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ทำให้หลวงพ่อสาครไม่ยอมใช้เวลาว่างที่เหลือให้เปล่าประโยชน์ ความมุมานะและใฝ่เรียนของท่านทำให้เป็นที่นับถือแก่บรรดาศานุศิษย์กันอย่างไม่เสื่อมคลาย
รายการวัตถุมงคลที่เปิดจอง
ขุนแผนเทพนิมิตเนื้อว่าน 108 พิมพ์เล็ก หลวงพ่อสาคร
วัดหนองกรับ
พระขุนแผนผงพรายกุมาร พิมพ์ใหญ่ รุ่น เทพนิมิต หลวงพ่อสาคร
วัดหนองกรับ
เนื้อผงพรายกุมารสีชมพู ฝังตะกรุดทองฝาบาตรคู่ สร้างจำนวน ๑, ๙๙๙ องค์
เนื้อผงพรายกุมารสีชมพู ฝังตะกรุดทองฝาบาตรคู่ สร้างจำนวน ๑, ๙๙๙ องค์
มวลสารศักดิ์สิทธิ์ พระขุนแผน เทพนิมิต
พิพิธภัณฑ์บุญญาภิรัติ
หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ
พิธีปั๊มนำฤกษ์ พระขุนแผนเทพนิมิต
โดย หลวงพ่อสาคร
วัดหนองกรับ
ท่านใดที่มีโอกาสเช่ามาบูชาหรือมีทุนทรัพย์ในการเช่า นั้นถือว่าวัตถุมงคลรุ่นนี้เป็นอีกรุ่นที่มีความสศักดิ์สิทธิ์เเละเข้มขลัง ทางด้านพุทธาคม เเละยังเป็นมหาเสน่ห์อีกด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)